เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ มี.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มนุษย์ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์นะ อยากปฏิเสธความทุกข์ เวลาเกิดมาในพุทธศาสนา เห็นไหม นี่เวลาทำบุญกุศล หวังพึ่งไง หวังบุญกุศลเป็นที่ผ่อนคลาย แต่ถ้าเวลาอริยสัจความจริงนะ เวลาสัจธรรม นี่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์นี้เป็นสัจจะความจริง แต่สัจจะความจริงถ้าเราไม่รู้เท่า เราพยายามจะวิ่งหนี เราพยายามจะหลบหลีก ความทุกข์นี่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเราเผชิญหน้ากับมันนะ นี่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ และทุกข์ดับไป

นี่เวลาทุกข์เกิดขึ้น เห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญา ทุกข์ตั้งอยู่ เราพิจารณาใคร่ครวญ ถ้ามันปล่อยวางได้ คำว่าปล่อยวางได้นะ สิ่งนี้มันจะอยู่กับเราโดยที่เราไม่ตื่นเต้นกับมันไง เราจะไม่ตื่นเต้นกับสิ่งใดไป เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ “แม้แต่กายกับใจอยู่ด้วยกัน ยังไม่คุ้นเคยกัน”นี่ความคุ้นเคย เวลาจิตใจมันคุ้นเคย สิ่งนี้มันห่วง มันอาลัยอาวรณ์ ความอาลัยอาวรณ์ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นของเราๆ เราห่วง เราอาลัยอาวรณ์ แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ แม้แต่อยู่ด้วยกันมันก็ไม่คุ้นเคยกัน เพราะ เพราะสิ่งนี้เป็นสัจจะ มันเป็นความจริง

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา” ความเป็นธรรมดาของมัน แต่จิตใจของเรามันยังไม่เป็นธรรมดา เพราะเราเห็นการเกิดดับอันนั้นไม่ได้ นี่ถ้ามันเห็นความเกิดดับอันนั้นได้ เห็นไหม นี่สังโยชน์มันขาด พอสังโยชน์มันขาด นี้กายกับใจอยู่ด้วยกันก็ไม่คุ้นเคยกัน

เวลาพระอรหันต์ ภาราหะเว ปัญจักขันธา ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นภาระ มันไม่คุ้นเคย มันเป็นภาระรับผิดชอบ ดูแลกันไป แต่ถ้ามันเป็นปุถุชน เห็นไหม นี่ทุกสรรพสิ่งนี้เป็นเรา เราเกิดมานี้สรรพสิ่งเป็นเรา แม้แต่ร่างกายของเรา ทุกอย่างเป็นของเรา ถ้าเป็นของเรา ใช่ โดยธรรม สัจธรรมเราเข้าใจได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเราๆ เพราะ เพราะมันเป็นสมมุติ มันเป็นของเราชั่วคราว ถึงเวลาแล้วมันต้องพลัดพรากจากกัน แต่ แต่ในเมื่อมันมีความอาลัยอาวรณ์ เห็นไหม สังโยชน์ ความอาลัยอาวรณ์ ความรำพึงรำพันมันขาดไม่ได้ มันยังห่วงหน้าพะวงหลัง มันก็มีสิ่งที่เป็นภาระของใจตลอดไป

แต่ถ้าสังโยชน์มันขาดไปแล้ว เห็นไหม ก็มีชีวิตอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งนี้ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ดูแลรับผิดชอบกันไป เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา กว่าจะเป็นสภาวะสิ่งนี้ได้มันต้องมีการฝึกหัด ถ้าไม่มีการฝึกหัดนะ นี่เราศึกษาในทางการช่าง เราเข้าใจในทางการช่างได้ แต่เราไม่ได้เคยทำงานตำแหน่งนั้น ทำหน้าที่นั้น เรียกว่าหน้างาน หน้างานจะมีอุปสรรคมีปัญหามากนัก

นี่ก็เหมือนกัน ทำความเข้าใจได้ เพราะเราเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธไง พุทธศาสนาสอน เห็นไหม เรามีความกตัญญูกตเวที เพื่อกลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีลนะ ลูกที่ดี ญาติพี่น้องที่ดี นี่มันจะส่งเสริมกัน พูดถึงแต่สิ่งที่ดีๆ ต่อกัน

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม” ทวนลมเพราะการกระทำของเรา พฤติกรรมของเราเป็นสิ่งที่ดี พอสิ่งที่ดี นี่สิ่งนี้มันจะหอมทวนลมไป นี่กลิ่นความหอมต่างๆ มันจะไปตามลมใช่ไหม? นี่ทวนกระแส ทวนลมไปเพราะลมปากของคน นี่คุณงามความดีของเรามันจะเป็นสภาวะ เป็นความจริงอันนั้นไป ความกตัญญูกตเวที การทำความดีของเราเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าเป็นเครื่องหมายของคนดี เห็นไหม จิตใจนี่มันไม่ดีดดิ้นจนเกินไป

คนเรา นี่สังคมที่เขาทุกข์เขายากกัน เขาจะบอกว่าสังคมรังแกเขา ทุกสิ่งรังแกเขา เขาเสียเปรียบตลอด แต่ถ้าเรามีความกตัญญูกตเวที กตัญญูคืออะไร? คือตอบสนองคุณงามความดีของเขา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราจะตอบสนองเพราะว่าอะไร? เพราะว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ให้ชีวิตเรามา ให้การศึกษาเรามา ให้ต่างๆ เรามา นี่เรากตัญญูกตเวที กตัญญูกตเวที เห็นไหม เขาไม่เบียดเบียนเรา เขาไม่บังคับเรา เขาไม่ขู่เข็ญเรา เราพอใจทำ ถ้าเราพอใจทำนะ จิตใจมันเปิดกว้าง มีความกตัญญูกตเวที มองโลกมันมองคนละแง่มุมกัน

ถ้ามองโลกมองในแง่มุมของกุศล อกุศลมองโลกในแง่อกุศล ความบีบคั้น ความกดถ่วงต่างๆ ทำให้จิตใจมันยึดเหนี่ยวของมัน แต่ถ้ามันจิตใจมองโลกในแง่บวก มองโลกในจิตใจที่เป็นสาธารณะ นี่เราเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้มันเริ่มความเข้าใจได้ นั่นเป็นของเขา นี่เป็นของเรา การกระทำของเขา กรรมดีของเขาก็เป็นกรรมดีของเขา กรรมชั่วของเขาก็เป็นกรรมชั่วของเขา กรรมดีของเราล่ะ? กรรมชั่วของเราล่ะ?

เราทำคุณงามความดีของเรา นั่นสิทธิของเขา นี่สิทธิของเรา เราดูแลจิตใจของเรา เห็นไหม นี่มันเริ่มศึกษา เริ่มเป็นไป ชีวิตของเราถ้ามันลุ่มๆ ดอนๆ เราจะกระเทือนมาก ชีวิตคนราบเรียบ คนออกทะเล ไม่เคยเจอคลื่น เจอลม เขาก็ไปของเขาตามการเดินเรือของเขา ถ้าเราเจอคลื่น เจอลมนะ แล้วลมแรง เห็นไหม เวลาลมพายุมันพัดมาเรือเราจะอับปางนะ ถ้าเรือเราจะอับปาง เราจะฝ่าพายุนี้ไปอย่างไร?

ชีวิตเราก็เหมือนกัน เวลาชีวิตเราลุ่มๆ ดอนๆ เราจะดูแลชีวิตของเราไปอย่างไร? ดูแลนะ เราจะฝ่าอุปสรรคนี้อย่างไร? เราจะทำสิ่งต่างๆ อย่างไร? นี่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะ เห็นไหม ในเมื่อมันเป็นสิทธินะ นั่นเรื่องของเขา นี่เรื่องของเรา ในเมื่อเรือของเขา เขาผ่านคลื่นลมไปโดยความสะดวกสบายของเขา เรือของเรามันมีวิกฤติของมัน เราจะผ่านคลื่นลมของเราไปอย่างไร? อันนี้มันเป็นพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตคือการสร้างสมมา

การสร้างสมของคนมานะ ถ้าการสร้างสมของคนมา มุมมองของจิตใจมันแตกต่างกัน แค่มุมมองนี่ทำให้พฤติกรรมของคนแตกต่างแล้ว ถ้าพฤติกรรมของคนแตกต่างใช่ไหม? เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม? นี่ในเรื่องของโลก งานของโลกไม่มีวันสิ้นสุด เพราะร่างกายมันต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิต นี่เราต้องมีสิ่งนี้เพื่อดำรงชีวิตของเราไป ทำบุญกุศล เวลาตายไปไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ไม่มีร่างกายนี้ นี่เขาอิ่มทิพย์ของเขา เป็นความทิพย์ของเขา เวลาตกนรกอเวจีก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น สิ่งที่ความรู้สึกของใจนั้นอย่างหนึ่ง สิ่งที่ชีวิตของเรามันต้องการปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็หามาเพื่อดำรงชีวิตนี้ แต่ธรรมะนี่ ธรรมะ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ สมาธิคือความตั้งมั่นของใจ ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร พุทธศาสนาคือพิจารณาแก้ไขหัวใจนี้ให้มันเกิดปัญญาขึ้นมา พอเกิดปัญญาขึ้นมามันจะคลายสังโยชน์ออก ถ้าคลายสังโยชน์ออก สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

ความสงสัย ความลังเลสงสัยในสิ่งที่เราสงสัยมันนี่ไม่มี สีลัพพตปรามาส เห็นไหม มันไม่ลูบไม่คลำแล้ว ความลังเลสงสัยมันไม่มี นี่ไม่มีสีลัพพตปรามาส ไม่มีความลูบๆ คลำๆ สิ่งนี้เพราะมันเกิดจากอะไรล่ะ? ถ้าไม่เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ชีวิตเรายังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ ยังมีความทุกข์ยากขนาดนี้จะภาวนาอะไร? แม้แต่การดำรงชีวิตมันก็ทุกข์ยากขนาดนี้

ดำรงชีวิตนะ นี่ถ้าหัวใจนะ ดูสิดูพระมา เห็นไหม บิณฑบาตมา มักน้อยสันโดษกับสิ่งที่ได้มา ถ้ามักน้อย มักน้อยยังกิน ยังฉันแต่พอดำรงชีวิตนะ เพื่อเดี๋ยวไปภาวนาแล้วไม่ใช่ง่วงเหงาหาวนอน ไม่ใช่ธาตุขันธ์มันกดทับจิต นี่แม้แต่ได้มายังมักน้อย เพราะว่าเห็นโทษเห็นภัยของมัน ถ้าชีวิตของเรา เราไม่ตื่นเต้นไปกับกระแสของโลกนะ เราพอทั้งนั้นแหละ ถ้าเราพอของเราแล้ว นี่สิ่งที่ดำรงธาตุขันธ์ ถ้าดำรงจิตล่ะ?

นี่จิตต้องการธรรมเป็นอาหาร จิตนี้เรียกร้องความช่วยเหลือตลอดเวลานะ เวลาสังคมเขาช่วยเหลือเจือจานกัน เขาให้ปัจจัยเครื่องอาศัยกัน เขาบอกขอบคุณๆ กัน แต่เวลาจิตใจของเรา เห็นไหม เวลามันเดือดร้อนในหัวใจมันต้องการสิ่งใดล่ะ? มันต้องการปล่อยวาง แต่มันปล่อยวางไม่ได้ มันปล่อยวางไม่ได้เพราะมันยิ่งคิดมันยิ่งยึดมั่นของมัน ยิ่งคิดยิ่งมีปัญหาของมัน เพราะอะไร? เพราะสิ่งนั้นมันมีรสชาติ มันมีรสชาติของมัน แต่พอเราทำความปกติของใจ รสชาติอย่างนั้นมันปล่อยวางชั่วคราว เพราะจิตของมัน นี่จิตของมัน เห็นไหม มือถ้าไม่มีบาดแผล มันทำสิ่งใดนะมันไม่กลัวเชื้อโรค มันไม่กลัวสิ่งใดที่ทำให้บาดแผลนั้นมีความเจ็บปวด จิตใจที่มันมีบาดแผลอยู่ จิตใจมันมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ นี่สัญญาอารมณ์ต่างๆ มันมีรสชาติของมัน มันเจ็บปวดของมัน

เวลาทำความสงบของใจขึ้นมา มือไม่มีบาดแผล เราทำสิ่งใดมันเป็นประโยชน์ จิตใจที่มันอิ่มเต็มของมัน มันไม่หิวกระหาย ถ้าหิวกระหายนะ มันเจอสิ่งใดมันเสวยอารมณ์ๆ คือมันคิด ความคิดมันเกิดจากจิต แล้วมันก็คิดของมันเอง มันก็เสวยของมันเอง มันก็มีรสชาติของมันเอง เวลาจิตมันสงบเข้ามาแล้วนะมันอิ่มเต็มของมัน สิ่งใดมา เห็นไหม สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ ไม่คิด สิ่งนี้เป็นประโยชน์เราจะฝึกหัด เราจะคิดของเรา เป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์

ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน? ตายแล้วจะไปไหน? ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร? นี่ถ้าเราไม่บังคับบัญชาของเขา เรือ เรือลำนี้มันจะออกไปเผชิญกับลมพายุ นี่จิตนี้มันจะเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปด้วยเวรกรรมของมัน ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เราจะมีหางเสือของเรา เราจะพาเรือนี้เข้าฝั่ง ถ้าเรือนี้มันเกยตื้นเข้าฝั่งได้นะ นี่โสดาบัน นี่เราอยู่ในวัฏฏะ เหมือนเราว่ายน้ำอยู่กลางทะเล ถ้าเราเข้าถึงฝั่ง ถ้าตีนเราแตะพื้นเมื่อไหร่ นั่นโสดาบัน พอโสดาบันเราจะเดินจากพื้นนั้นขึ้นสู่บกนั้น

จิตใจเวียนอยู่ในวัฏฏะ นี่มันเวียนอยู่ในวัฏฏะ เรามีหางเสือของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม สิ่งนี้ควรคิด สิ่งนี้ไม่ควรคิด นี่ภาวนามยปัญญามันจะเกิดไง ถ้ามันจะเกิดนะ มันจะพาจิตดวงนี้ พาจิตดวงนี้เข้าสู่กระแส ถ้าเป็นโสดาบันเข้าสู่กระแสของนิพพาน คือจิตดวงนี้อีก ๗ ชาติมันต้องสิ้นสุดของมัน ไม่ใช่เวียนตายเวียนเกิด นี่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ จิตมันหมุนเวียนของมันไปตลอดเวลา

นี่ปัญญาของโลกนะ เราว่าเรามีสติปัญญา นี่ปัญญาชนๆ เราปฏิบัติด้วยปัญญาของเรา เดี๋ยวนี้นะ เมื่อก่อนคนเรายังโง่อยู่ ยังไม่ทำอะไรก็ทุกข์ยาก เดี๋ยวนี้คนฉลาดต้องมีปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญากิเลสมันหลอกนะ เพราะกิเลสมันพาใช้ไง นี่สิ่งนั้นเราก็รู้แล้ว ทุกอย่างพร้อมหมดเลย เหมือนของในบ้านมีเต็มอยู่เลย แต่ใช้ไม่เป็น ทุกห้องมีสมบัติหมดเลย แต่ตัวมันเองอยู่กลางถนน เดือดร้อนอยู่กลางถนน มันไม่รู้จักเปิดสมบัติมันมาใช้

เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เรามีศักยภาพนะ จิตใจนี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ แล้วใช้เป็นไหมล่ะ? เราก็ใช้แต่ทางโลกไง เราต้องทำหน้าที่การงาน คนเราจะเจริญรุ่งเรืองก็ต้องมีความกตัญญูกตเวที นี่มันเรื่องโลกนะ เพราะเราเกิดมาในโลก นี่เราเกิดมาในโลกใช่ไหม? เกิดจากพ่อ จากแม่ เราเกิดจากพ่อ จากแม่ มันก็หมุนในโลก นี่อยู่ในโลก นี่อยู่ในวัฏฏะ แล้วมันจะออกจากวัฏฏะอย่างไรล่ะ?

ถ้าเราไม่เกิดมาในโลก แล้วจิตนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ? จิตนี้เกิดมาจากโลก แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอจิตมันอิ่มเต็มนะ จิตใจเป็นสาธารณะ นี่ความดีของฆราวาสธรรม ฆราวาสนะมีจิตใจเผื่อแผ่ เกื้อหนุนกัน เห็นอกเห็นใจกัน นี่ฆราวาสธรรม แต่เวลาปฏิบัตินะ มันต้องเอาชนะตนเอง เวลาครูบาอาจารย์ของเราเข้าป่าเข้าเขา ไปนั่งอยู่โคนไม้ เวลาอยู่โคนไม้คนเดียว เห็นไหม อึดอัดขัดข้องไปหมดเลย นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี ไม่ดีทั้งนั้นเลย ไม่มีอะไรดีซักอย่างเลย

นี่มันอยู่ที่โคนไม้ เพราะอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ความคิดมันจะผุดขึ้นมา มันจะน้อยเนื้อต่ำใจนะ ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีใครมาอุปัฏฐาก ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีใครดูแลเลย อู๋ย อยู่ในป่าก็ทุกข์ก็ยาก อู๋ย ไม่มีใครดูแลเลย มันน้อยใจมาตลอด แต่ถ้าเวลามันมีปัญญาขึ้นมานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ในการประพฤติปฏิบัตินะ ให้ไปแบบนอแรด”

นอแรดมันมีนอเดียว ตอนนี้เราก็เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เป็นนักปฏิบัติ เราก็ออกมาของเราอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวนะ อยู่คนเดียวเพื่ออะไร? เพื่อชำระสะสางหัวใจของเรา ถ้าอยู่คนเดียว ถ้าเราอยู่กับหมู่คณะ เห็นไหม นี่มันก็มีความคุ้นชิน มีความเคยชิน หวังพึ่งพาอาศัยกัน มันก็นอนใจ เวลามาอยู่คนเดียวนี่เราต้องอยู่โดยลำแข้งของเรานะ ทุกอย่างเราทำเอง

เวลาเราเกิดในวัฏฏะนี่เราเกิดจากพ่อจากแม่ เวลาเราเกิดในธรรมนะ วันวิสาขบูชา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ นี่เกิดในธรรม ใจเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะมันเกิดมรรคญาณ มรรคญาณมันคืออะไร? มรรคญาณคือศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ใจที่มันฟุ้งซ่าน ใจที่มันทุกข์ยากนี่อย่างหนึ่งนะ พอใจที่มันสงบร่มเย็นขึ้นมา อืม เมื่อกี้ยังทุกข์อยู่เลย ตอนนี้ทุกข์หายไปไหน? ทำไมมันมีความร่มเย็น แล้วความร่มเย็นใช้ประโยชน์อย่างไร?

นี่มีความปกติของใจแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในอะไร? ปัญญาที่โลกเขาใช้ว่าเป็นปัญญาๆ นั่นปัญญาเกิดจากกิเลส เกิดจากภพ เกิดจากภวาสวะ เกิดจากอวิชชา เพราะอวิชชาพาเกิด จิตถ้ามันมีอวิชชาอยู่ คิดอย่างไร? คิดธรรมะก็เป็นอวิชชา เพราะอวิชชาพาคิดไง พอจิตมันสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม อวิชชามันดับลง ถ้าอวิชชาดับไม่ได้ จิตมันจะสงบตัวเองไม่ได้ เพราะความไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ยิ่งคิด ยิ่งไม่รู้ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งไม่รู้ยิ่งค้นคว้า มันยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย

แต่พอมันสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม นี่อวิชชามันสงบตัวลง มือนี้ไม่มีบาดแผล เวลามันคิดสิ่งใดนะมันจะคิดช่วยเหลือตัวมันเอง ปลดเปลื้องไง ปลดเปลื้องในหัวใจของตัวเอง เวลามันคิดในเรื่องสิ่งใด ชีวิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้เกิดมาจากอะไร? นี่เห็นไหม ปฏิสนธิจิตมันปฏิสนธิอย่างไร? นี่แล้วมันมาเกิดเป็นเรามานั่งอยู่นี่ นั่งเป็นหัวตออยู่นี่ ทุกข์อยู่นี่มันมาอย่างไร? แล้วยังพรุ่งนี้ก็ทุกข์ มะรืนก็ทุกข์ ชาติหน้าก็ทุกข์ มันจะทุกข์ไปข้างหน้า แล้วจะดับทุกข์อย่างไร?

ถ้าดับทุกข์ เห็นไหม จิตใจเรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วไม่มีใครช่วยเหลือมันได้ ต้องใจเราช่วยเหลือใจของเราเอง ปัญญาที่เกิดขึ้นจากใจของเรามันจะแก้ไขเรา เวลาเราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาใช้เงินใช้ทอง เงินนี้เป็นเงินของธนาคารชาติ แต่เราก็ใช้สอยได้ แต่เงินของเราล่ะ? เงินของเราล่ะ? ปัจจัยของเราล่ะ? ปัญญาเกิดขึ้นมา เวลาจิตมันสงบระงับขึ้นมา แล้วมันใช้ปัญญาของมันนะ

ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือชีวะ ชีวะมันเกิดขึ้นมาแล้วมันทำงานต่อไป พลังงานมันก็ส่งออก มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิดไง แล้วความรู้สึกนึกคิดนี้ก็ย้อนกลับมาที่ตัวมันไง นี่แล้วสิ่งที่มันคิดมันคิดขึ้นมาจากอะไร? จากอวิชชา แล้วอะไรเป็นอวิชชา นี่ทำไมมันถึงคิด สิ่งใดเป็นตัวเร้า สิ่งที่เป็นตัวเร้ามันคือตัวตัณหา ตัวสมุทัย ตัวสมุทัยคืออะไร? คือตัวไม่รู้ คือความอยากได้ คือตัวผลักไส ผลักไสนี่ตัวสมุทัย สมุทัยมันมาจากไหน? นี่มันเกิดปัญญา เกิดปัญญาคือเกิดความดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ งานชอบในอะไร? งานชอบในการรื้อค้น รื้อค้นในหัวใจของเรา นี่คืองานชอบ เพราะงานนี้จะรื้อภพรื้อชาติ

งานของเรา งานหาเงินหาทองมาดำรงชีวิต งานรื้อภพรื้อชาตินะ ถ้ามันรื้อภพในอวิชชาความไม่รู้มันคลายตัวมันออก นี่สังโยชน์มันขาดไป ๑๐ ตัว รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ถ้าทำลายหมดแล้วนะ พอมันรู้แจ้งขึ้นมามันปล่อยวางหมดนะ นี่เราจับปลาไหล เราจับงู เราเข้าใจว่ามันเป็นปลา นี่เราเข้าใจว่าไง เราว่าเราคิด เราว่าเราเก่ง ปัญญาชน เรามีปัญญา เราเก่งไปหมดเลย พอมีสติปัญญาบอกว่ามึงนี่โง่ฉิบหายเลยนะ มันสลัดทิ้งเลย พอมันสลัดทิ้ง มันปล่อยแล้วนะ อืม แล้วมันเหลืออะไรล่ะ? มันเหลืออะไร?

นี่ไงชีวิตของเราถ้ามันราบเรียบ มันก็มีความรู้สึกนึกคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตเราสมบุกสมบัน ชีวิตเราทุกข์ยาก มันก็มีประสบการณ์ชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ถ้าราบเรียบ มันก็ต้องไปแบบราบเรียบ ถ้ามันสมบุกสมบัน มันก็ต้องไปแบบสมบุกสมบัน เพราะ เพราะสิ่งนี้คือการกระทำ คือกรรมที่เราสร้างมา จริตนิสัยของคน ความรู้สึกนึกคิดของคน มันมาจากต้นทุนเดิมที่เราทำมาทั้งนั้นแหละ

ต้นทุนเดิม เห็นไหม เมล็ดพันธุ์ต่างๆ มันก็เกิดจากเมล็ดพันธุ์ของมัน มันถึงเกิดเป็นผลชนิดนั้น ความรู้สึกนึกคิดของเรา การกระทำของเราที่เป็นเราอยู่นี้ ก็มาจากการกระทำของเราทั้งนั้น แล้วเราจะไปน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งใด? เราต้องตั้งสติปัญญาของเรา แล้วย้อนกระแส ทวนกระแสย้อนกลับเข้าไปรู้แจ้งในใจของตัว สิ่งนี้เราจะทำของเรา มันจะเป็นสมบัติของเรา ถ้าเรารู้แล้วนะ ไม่ต้องมีใครบอก ไม่ต้องมีใครถาม ไม่ต้องไปวิตกกังวลกับความยอมรับของใครและไม่ยอมรับของใคร

เขายอมรับขนาดไหน แต่เราไม่รู้เราก็เวียนตายเวียนเกิดอยู่ ถ้าเขาไม่ยอมรับเราเลย เขาดูถูกเหยียดหยามด้วย ก็เรื่องของเขา เรื่องของเราก็ใจของเรา เรื่องของเรามันจบแล้ว เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา ไม่ต้องมีการยอมรับใครทั้งสิ้นถ้าเรารู้แจ้ง เรารู้แจ้งของเรา เราทำของเรา ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปมันมีอุปสรรคนะ มันมีความลังเลสงสัย มันมีกิเลสคอยยุ คอยแหย่ คอยชักลากให้มันออกนอกกระแสไป เราก็มีครูบาอาจารย์เป็นที่ปรึกษา มีครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำ

ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นที่ปรึกษา ถ้าเราปฏิบัติจนเลยหน้าครูบาอาจารย์ไป ครูบาอาจารย์พูดไม่ถูก พูดผิด เราสอนอาจารย์ได้นะ การปฏิบัติมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน เห็นไหม ขิปปาภิญญา นั่งทีเดียวตรัสรู้เลยก็มี ปฏิบัติไปสมบุกสมบันขนาดไหน เพียงแต่มีวัตรปฏิบัติ แต่จิตใจยังไม่บรรลุธรรมก็เยอะแยะไป ฉะนั้น ในการกระทำของเรา ถ้ารู้แจ้งแล้วนะ ตาสว่างแล้วมันเห็นทุกอย่าง มันรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง เอวัง